เป็นราชวงศ์แรกของจีน ปกครองประเทศจีนในช่วง 2100-1600 ปีก่อนคริสตกาล มีอายุอยู่ได้ราว 500 ปี ในอดีตนักวิชาการและบุคคลโดยทั่วไปเชื่อว่าเรื่องราวของ ราชวงศ์เซี่ยเป็นเพียงเรื่องแต่งหรือปรัมปราที่เล่าสืบต่อกันมา แต่ปัจจุบันมีการ ขุดค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีที่เชื่อถือได้ มีอาณาเขตปกครอง แถบลุ่มแม่น้ำเหลือง ของมลฑลซานซีในปัจจุบัน มีการขุดพบแหล่งวัฒธรรมเอ้อหลี่โถว คาดว่าน่าจะเป็นวัฒนธรรมสมัยราชวงศ์เซี่ย
การก่อตั้งราชวงศ์เซี่ยซึ่งมีรากฐานของอำนาจจากการยึดครองทรัพย์สิน เป็นของส่วนตัว เป็นสัญญาณว่าสังคมยุคดึกดำบรรพ์ที่ทรัพย์สินเป็นของ สาธารณะอันยาวนาน เมื่อถึงปลายราชวงศ์ ศูนย์อำนาจภายในเกิดความวุ่นวายทั้งภายใน และภายนอกไม่หยุดยั้งข้อขัดแย้งทางชนชั้นทวีความรุนแรงมากขึ้นไม่คิดจะปฏิรูปแก้ไขสิ่งใด ยังคงเห่อเหิมฟุ้งเฟ้อในอำนาจ โดยสั่งให้ก่อสร้างตำหนักพระราชวัง ใช้จ่ายเงินทองฟุ่มเฟือยมากมายมัวเมาอยู่กับสุรานารีโดยไม่สนใจใยดีต่อความทุกข์ยาก ของเหล่าประชาราษฎร์ ประชาชนต่างพากันก่นด่าประณามจึงถูกปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ซาง ได้ทำการยึดอำนาจ จึงถือว่าสิ้นสุดราชวศ์เซี่ย
ราชวงศ์ชางปกครองประเทศจีนในช่วง 1,700 – 100 ก่อนคริสต์ศักราช ศูนย์กลางบริเวณเมืองอันยาง มลฑลโฮหนาน(เหอหนาน) ราชวงศ์นี้เป็นยุคแห่ง ไสยศาสตร์โดยแท้นิยมการเสี่ยงทายด้วยกระดองเต่ากันมากจากหลักฐานที่ขุดได้ พบเป็นแผ่นจารึกตัวอักษรโบราณและเศษกระดองเต่ามีรอยแตกอยู่ทั่วไป หรือเรียกกันว่า “กระดูกเสี่ยงทาย” และ กระดูกทำนายพวกนี้เป็นจุดเริ่มต้นของอักษรจีนนั่นเอง ถือเป็นราชวงศ์แรกที่มีการบันทึก ทางประวัติศาสตร์ด้วยตัวอักษร
ยังมีการทำเครื่องใช้ต่างๆด้วยสำริดเริ่มมีการเชื่อเรื่องการบูชาบรรพบุรุษ นอกจากนั้นยังมีความเชื่อเรื่องเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ มีการทำปฏิทินฤดูกาลต่างๆ ซึ่งมีความสำคัญต่อการเพาะปลูกเก็บเกี่ยว กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์นั้นเป็นผู้โหดเหี้ยม ขูดรีดเงิน ทอง จากราษฎรอย่างหนัก และลงโทษแก่ผู้ต่อต้านนโยบายหรือสร้างความขัดเคืองใจด้วยการประหารชีวิต เหล่าขุนนาง และกษัตริย์ไม่สนใจประชาชนจึงสร้าง แรงกดดันเผ่าโจว(Zhou) ได้รวบรวมกำลัง กับเผ่าอื่นที่ประสบความเดือนร้อนได้โจมตี ราชวงศ์จึ่งล่มสลายไปในที่สุด
ราชวงศ์ที่ 3 ในประวัติศาสตร์จีน เริ่มประมาณ 1046 ปีก่อนคริสต์ศักราช-256 ปี ก่อนคริสต์ศักราช นับเป็นราชวงศ์ที่ยาวนานที่สุด ด้วยเวลาที่ยาวนานกว่า 867 ปี แบ่งเป็นสองยุค 2 ช่วงราชวงศ์ คือราชวงศ์โจวตะวันตก และราชวงศ์โจวตะวันออก ในสมัยนี้มึความเชื่อว่ากษัตริย์เป็นโอรสแห่งสวรรค์ และเริ่มต้นยุคศักดินา ในประเทศจีน มีการมอบกรรมสิทธิ์ที่ดินแก่ผู้ที่สนับสนุนราชวงศ์ และกำหนดสิทธิหน้าที่ตามยศฐาบรรนาศํกดิ์ มีการก่อตั้งตัวแทนกษัตริย์ตามหัวเมืองต่างๆ สมัยนี้เป็นสมัยเกิดนักปรัชญาเมธีคนสำคัญของจีน คือ ขงจื๊อ และ เหล่าจื๊อ
ปกครองแผ่นดินในช่วง 221 – 206 ก่อนคริสต์ศักราชปัจจุบัน คือมณฑลกานซู่และมณฑลฉ่านซีของจีน ก่อตั้งโดยจักรพรรดิฉินฉื่อ (จิ๋นซีฮ่องเต้) จิ๋นซีฮ่องเต้ทรงสามารถรวบรวมแผ่นดินของจีนให้เป็นหนึ่งเดียวได้เป็นครั้งแรก ได้ก่อสร้างกำแพงเมืองจีน เพื่อต่อต้านผู้รุกรานทางเหนือเริ่มมีการใช้ เหรียญกษาปณ์ มาตราชั่ง ตวง วัด โปรดให้สร้างถนน ขุดคลองเพื่อเชื่อมโยงราชธานีกับมลฑลต่างๆ มีการก่อสร้างพระราชวังขนาดใหญ่และสถานที่ มีทรัพย์สิน และรูปปั้นขนาดเท่าตัวจริงของนักรบ และ ม้า (สุสานฉินสื่อหวง)
เป็นราชวงศ์จีนที่ปกครองต่อจากราชวงศ์ฉิน ราชวงศ์ฮั่นแบ่งเป็น 2 ช่วง ราชวงศ์ฮั่นตอนต้นมีเมืองหลวงตั้งอยู่ที่นครฉางอันจึงได้รับการขนานนามว่าฮั่น ตะวันตกเมื่อถึงสมัยราชวงศ์ฮั่นตอนปลายได้ย้ายเมืองหลวงมายังนครลั่วหยัง เรียกว่าฮั่นตะวันออกนับ เป็นสมัยที่จีนรุ่งเรือง เป็นอย่างมาก เริ่มมีการสอบ “จอมหงวน” คำสอนของลัทธิขงจื๊อได้ถูกนำมาเป็นหลัก ในการปกครองประเทศ
พระพุทธศาสนาจากอินเดียเริ่มเผยแย่เข้าสู่จีน มีผลต่อความเจริญรุ่งเรือง ของอารยธรรมจีนมาก มีการสำรวจเส้นทางสายไหมเพื่อใช้ติดต่อกับ อินเดียและยุโรป ซือหม่าเซียนได้ปรับปรุงปฏิทินจันทรคติและเขียนหนังสือ สือสื่อจี้ มีการประดิษฐ์กระดาษและเครื่องมือวัดแผ่นดินไหว เมื่อสิ้นสุดสมัยราชวงศ์ฮั่น จีนเกิดการแตกแยกภายในหรือเรียกว่า “สามก๊ก”
เป็นราชวงศ์ที่ทรงอำนาจทางการทหารแต่มีระยะเวลาการปกครอง ที่ค่อนข้างสั้น สถาปนาขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1124 มีนครฉางอันเป็นเหมืองหลวงระหว่าง พ.ศ. 1124 - พ.ศ. 1148 และต่อมาย้ายไปนครลั่วหยางระหว่าง พ.ศ. 1148 - พ.ศ. 1161 แต่ราชวงศ์สุยมีอันต้องล่มสลายลงในปี พ.ศ. 1161 ในรัชกาลจักรพรรดิสุยหยาง(หยางกว่าง) พระราชโอรสองค์รองของสุยเหวิน
ในสมัยนี้มีการริเริ่มการสอบจอหงวนเป็นครั้งแรก ทั่วราชอาณาจักร เพื่อคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถเข้ามารับราชการในตำแหน่งขุนนาง ทำให้แต่เดิม ที่ขุนนางจะมีเพียงแต่ชนชั้นสูงที่สืบทอดสกุลต่อกันมา ทำให้อาจจะมีแต่ตำแหน่ง แต่ไร้ความสามารถ จึงได้ผู้ที่มีฝีมือและความรู้อย่างแท้จริง ซ้ำยังทำให้ประชาชน ได้มีโอกาสมารับราชการในราชวัง นับว่าเป็นการลดการเหลื่อมล้ำทางสังคมอีกด้วย
ราชวงศ์นี้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้จีนอย่างมาก ทั้งด้านศิลปกรรม วัฒนธรรม และอีกหลาย ๆ ด้านปกครองประเทศนานถึง 289 ปีตั้งแต่ ค.ศ. 618-907 ระบบการเมือง มีการพัฒนาไปไม่น้อยและมีส่งอิทธิพลต่อยุคหลังมาก เช่น ระบบ 3 กระทรวง 6 ฝ่าย,ระบบสอบจอหงวนและระบบภาษี เป็นต้น ในด้านการต่างประเทศได้ใช้ มาตรการที่ค่อนข้างเปิดประเทศ การแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ระหว่างประเทศมีบ่อยครั้ง ในด้านวรรณคดี บทกวีของราชวงศ์ถังมีผลงานอันยิ่งใหญ่ ศิลปะในถ้ำหินต่าง ๆ ได้แพร่หลายจนถึงยุคปัจจุบัน
ในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิธีการพิมพ์และดินปืน ซึ่งเป็นสองอย่าง ในสิ่งประดิษฐ์อันยิ่งใหญ่สี่อย่างของจีนก็เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง ราชวงศ์ถังช่วงหลังมีความวุ่นวายในด้านการเมือง เกิดการปะทะกันระหว่างพรรคหนิว และ พรรคหลี่กับการกุมอำนาจของขุนนางขันทีการลุกขึ้นต่อสู้ของชาวนา เกิดขึ้นไม่ขาดสาย หลังจากนั้น ก็เกิดการโค่นราชวงศ์ถังลง ประกาศตน เป็นจักรพรรดิโดยสถาปนาราชวงศ์เหลียงยุคหลังซึ่งเป็นราชวงศ์แรก ของสมัยอู่ไต้หรือสมัยห้าราชวงศ์
เป็นหนึ่งในราชวงศ์ซึ่งปกครองประเทศจีนอยู่ระหว่างปี คริสตศักราชที่ 618-907 รัฐบาลซ่งเป็นรัฐบาลแรกในโลกที่ใช้เงินตราแบบกระดาษ พัฒนาเศรษฐกิจและ สังคมขึ้นมาใหม่แต่กลับตัดทอนอำนาจทางการทหารของแม่ทัพ เนื่องจาก ความระแวงกลัวจะยึดอำนาจ ทำให้การทหารอ่อนแอ ศิลปกรรมและวัฒนธรรมรุ่งเรืองมาก มีการใช้เข็มทิศ รู้จักการใช้ลูกคิด ประดิษฐ์แท่นพิมพ์ รักษาโรคด้วยการฝังเข็ม
การศึกษาของประชาชนดีขึ้น และ ขุนนางที่โดดเด่นอย่าง “เปาบุ้นจิ้น” ก็ได้มาเกิดในยุคในสมัยของจักรพรรดิซ่งเหรินจงซึ่งเป็นยุคที่ฮ่องเต้อ่อนแอ อำนาจอยู่ในมือพวกกังฉิน ท่านตัดสินคดีอย่างยุติธรรมและเด็ดขาด ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมใด ๆ จนเป็นที่เลื่องลือมาถึงปัจจุบัน
ก่อตั้งขึ้นเมื่อกุบไลข่านผู้นำเผ่าชาวมองโกล ได้โค่นอำนาจราชวงศ์ซ่งลง เป็นช่วงที่ชาวตะวันตกเข้ามาติดต่อค้าขายจำนวนมาก เช่น มาร์โคโปโลพ่อค้าชาว เมืองเวนิส อิตาลี กุบไลข่านสนใจทางอักษรศาสตร์และวรรณกรรมมาก จึงส่งเสริมบทประพันธ์ต่างๆ ปรากฏว่า บทงิ้วในสมัยกุบไลข่านดีมาก จนไม่มีบทงิ้วสมัยใดเทียบได้พอสิ้นยุคของกุบไลข่าน ก็ไม่มีกษัตริย์มองโกล พระองค์ใดเด่นเหมือนพระองค์อีก ต่อมาจึงมี การพยายามโค่นล้มราชวงศ์หยวนอยู่ตลอดเวลา ต่อมา มีกบฏโพกผ้าแดงขึ้นแล้วในที่สุดราชวงศ์หยวน ก็ได้ถูกโค่นล้มลงได้
ราชวงศ์หมิงปกครองจักรวรรดิจีนระหว่าง ค.ศ. 1368 ถึง ค.ศ. 1644 ดำรงอยู่เป็นเวลารวม 276 ปี ต่อจากราชวงศ์หยวนของชาวมองโกลและพ่ายแพ้ให้ กับราชวงศ์ชิงของชาวแมนจูในภายหลัง ราชวงศ์หมิงเป็นราชวงศ์สุดท้ายที่ชาวฮั่น ที่ได้ปกครองประเทศจีน ในยุคนี้วรรณกรรมนิยมเขียนนวนิยาย ที่ใช้ภาษาพูดมากกว่าใช้ภาษาเขียน นวนิยายที่สำคัญได้แก่ สามก๊ก ไซอิ๋ว เริ่มมีการสำรวจเส้นทานเดินเรือ โดยมี “จิ้งเหอ” หรือ ซำเปากง เป็นนักเดินเรือชาวจีนที่ได้บุกเบิกการเดินเรือ ไปเกือบทั่วโลก และในยุคนี้ได้สร้างโบราณสถานสำคัญ อย่างพระราชวังปักกิ่ง(วังต้องห้าม) , สุสานหลวงราชวงศ์หมิง
ราชวงศ์แมนจู ปกครองแผ่นดินจีนต่อจากราชวงศ์หมิงและถือเป็นราชวงศ์สุดท้าย ของประเทศจีน ตั้งแต่ ค.ศ. 1636 ถึง ค.ศ. 1912 เป็นยุคที่จีนเสื่อมถอยในทุกๆด้าน เริ่มถูกรุกรานจากชาติตะวันตก เช่น สงครามฝิ่น ซึ่งจีนรบแพ้อังกฤษ ทำให้ต้องถูกบังคับลงนามในสนธิสัญญานานกิงซึ่งส่งผลเสียต่อจีน หลายประการ ในช่วงปลายราชวงศ์ซิง พระนางซูสีไทเฮามี อิธิพลในการบริหารประเทศมาก มีการแย่งชิงอำนาจของผู้นำทหาร เรียกว่า “ยุคขุนศึก”
ต่อมา ดร.ซุนยัดเซ็น ก่อการปฏิวัติซินไฮ่ ในปี ค.ศ.1911 เพื่อสถาปนาระบอบ ประชาธิปไตยและสถาปนาสาธารณรัฐจีน ล้มล้างระบอบศักดินา สมเด็จพระจักรพรรดิผู่อี้ได้สละบัลลังก์ในปี ค.ศ. 1912 ทรงเป็นพระจักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์ชิงและของจีน อันเป็นจุดสิ้นสุดระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชที่มีมายาวนานหลายพันปี