ความลับที่ยังไม่มีการพิสูจน์อย่างชัดเจน มนุษย์ต่างดาว มีจริงหรือไม่ ... แต่มีหลายคนตั้งข้อสงสัย รวมถึงแจ้งข้อมูลให้ชวนคิดเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก ... น้องดีไซน์อาสารวบรวม สถานที่ลึกลับที่หลายคนคิดว่ามนุษย์ต่างดาวนั้นเคยมาบุกเยือนโลก ... แต่อยู่ที่ไหน และมีความเชือหรือหลักฐานยืนยันอย่างไร ไปดูกันเลย
Crop Circles วงกลมประหลาดกลางทุ่ง
สถานที่ : พบหลายแห่งในประเทศแถบยุโรป ตามทุ่งข้าวโพด ข้าวสาลี ข้าวบาร์เล่ห์ ถั่วเหลือง ฯลฯ
Crop Circles ถูกพบครั้งแรกในปี 1678 ประเทศอังกฤษ วงกลมประหลาดที่เกิดจากต้นพืชนั้นล้มลงโดยที่ก้านจะไม่หักเลยซะทีเดียว แต่จะงอลงมาประมาณหนึ่งนิ้วจากพื้นดิน กินอาณาเขตกว้างกระจายไปทั่วทุ่ง เมื่อมองจากมุมสูงจึงจะเห็นเป็นรูปทรงเรขาคณิตที่มีความสลับซับซ้อน ถึงปัจจุบันนี้มีรายงานการพบ Crop Circles กว่า 10,000 ครั้ง ส่วนใหญ่เกิดทางภาคใต้ และ 90 เปอร์เซนต์อยู่ในรัศมี 50 ไมล์จากสโตนเฮนจ์ (Stonehenge) Crop Circles ในยุคแรกๆ มักเป็นรูปทรงกลมหรือวงกลมกับวงแหวน แต่ในยุคหลังจากปี 1990 เป็นต้นมา ขนาด และรูปแบบของมันจะเริ่มซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
ในช่วงแรกมีรายงานจากแหล่งข่าวต่างๆ ในอังกฤษกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า Crop Circles เกิดขึ้นจากฝีมือของคนกลุ่มหนึ่ง แต่ในท้ายที่สุดเรื่องราวก็ถูกเปิดเผยว่า เรื่องนี้เป็นเพียงความพยายามที่จะปิดข่าวลือเรื่องมนุษย์ต่างดาวของกระทรวงความมั่นคงประเทศอังกฤษเอง กระทั่งปี 2000 มีกลุ่มที่เรียกตนเองว่า Circlemakers ออกมาเปิดเผยตนเองว่าเป็นผู้สร้าง Crop Circles ที่วิจิตรพิสดารหลายสิบแห่งทางภาคใต้ของอังกฤษมากว่า 11 ปี ปัจจุบันจึงมีผลการศึกษาว่า ร้อยละ 80 ของ Crop Circles เป็นฝีมือของมนุษย์เอง ส่วนที่เหลือนั้นยังเป็นปริศนา ทฤษฎีหลายทฤษฎีถูกตั้งขึ้นมาเพื่อตอบคำถามนี้ มันอาจเป็นข้อความ หรือภาษาที่ใช้สื่อสารกันระหว่างมนุษย์ต่างดาว หรืออาจเป็นแค่วงกลมที่สร้างขึ้นมาเพื่อเรียกร้องความสนใจก็เป็นได้
Ancient Cave ภาพวาดโบราณในถ้ำหิน
สถานที่ : ตามถ้ำโบราณหลายแห่ง ทั่วโลก
ประวัติศาสตร์ของจิตรกรรม (ภาษาอังกฤษ: History of painting) เริ่มสร้างกันมาตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์และเผยแพร่ไปในทุกวัฒนธรรมและทุกที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ในโลกจนกระทั่งปัจจุบันนี้ จนกระทั่งต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 จิตรกรรมจะเป็นการเขียนศิลปะแสดงลักษณ์ (Representational art), ศิลปะศาสนา หรือศิลปะคลาสสิก หลังจากนั้นจึงมีการเริ่มเขียนจิตรกรรมที่เป็นแต่เพียงศิลปะนามธรรม (Abstract art) และต่อมาศิลป์มโนทัศน์ (Conceptual art)
การวิวัฒนาการของจิตรกรรมตะวันตกคล้ายคลึงกับการวิวัฒนาการของจิตรกรรมตะวันออกโดยทั่วไปในสองสามร้อยปีหลัง ศิลปะแอฟริกา, ศิลปะอิสลาม, ศิลปะอินเดีย, ศิลปะจีน, และศิลปะญี่ปุ่น แต่ละอย่างที่กล่าวมาต่างก็มีอิทธิพลสำคัญต่อศิลปะตะวันตก และในที่สุดศิลปะก็กลับไปมีอิทธิพลต่อศิลปะตะวันออก
จิตรกรรมก่อนประวัติศาสตร์
จิตรกรรมที่เก่าที่สุดพบที่ถ้ำโชเวท์ (Grotte Chauvet) ในประเทศฝรั่งเศสที่นักประวัติศาสตร์อ้างว่ามีอายุราว 32,000 ปี เป็นภาพที่แกะและทาสารสีแดงและดำเป็นภาพม้า, แรด, สิงห์โต, ควาย, ช้างแมมมอธ, และมนุษย์ที่ส่วนใหญ่อยู่ในท่าล่าสัตว์ นอกจากฝรั่งเศสแล้วจิตรกรรมผนังถ้ำก็ยังพบทั่วโลกเช่นในที่อื่นในประเทศฝรั่งเศส, อินเดีย, สเปน, โปรตุเกส, จีน, ออสเตรเลียและอื่นๆ ความเห็นถึงสาเหตุที่เขียนและความหมายของภาพก็มีกันไปต่างๆ มนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์อาจจะเขียนภาพสัตว์เพื่อ “ยึด” เอาวิญญาณของสัตว์เพี่อจะได้ทำให้การล่าสัตว์ง่ายขึ้น หรืออาจจะเป็นการเขียนเพื่อสักการะธรรมชาติรอบข้าง หรืออาจจะเป็นความต้องการธรรมชาติพื้นฐานของมนุษย์ที่ต้องการแสดงออก หรืออาจจะเป็นการเขียนเพื่อเป็นการสื่อความหมายที่มีประโยชน์ก็ได้
ในยุคหินเก่าแก่ภาพเขียนรูปมนุษย์ในถ้ำจึงแบบว่าหาดูได้ยาก ภาพเขียนส่วนใหญ่เป็นภาพสัตว์ที่และไม่แต่สัตว์สำหรับการบริโภคแต่รวมทั้งสัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งด้วยเช่นแรด หรือ สัตว์ตระกูลเสือแมวเช่นภาพในถ้ำโชเวท์ บางครั้งก็จะมีเครื่องหมายจุด แต่ภาพมนุษย์เป็นแต่เพียงภาพพิมพ์ของมือหรือรูกึ่งสัตว์กึ่งคน ส่วนภาพเขียนในถ้ำอัลตามิรา (Cave of Altamira) ในประเทศสเปนมีอายุราวระหว่าง 14,000 ถึง 12,000 ก่อนคริสต์ศักราชมีภาพต่างๆ ที่รวมทั้งไบซอน
ในโถงวัวของลาส์โกซ์ในดอร์ดอญในฝรั่งเศสมีจิตรกรรมผนังถ้ำที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดที่เขียนระหว่าง 15,000 ถึง 10,000 ก่อนคริสต์ศักราช ความหมายของการเขียนไม่เป็นที่ทราบ ตัวถ้ำไม่ได้อยู่ในบริเวณที่อยู่อาศัยของผู้วาดซึ่งอาจจะหมายถึงว่าเป็นสถานที่ที่ใช้เฉพาะฤดูในประเพณีอย่างใดอย่างหนึ่ง สัตว์แต่ละตัวก็มีเครื่องหมายซึ่งอาจจะมีความหมายทางเวทมนตร์ สัญลักษณ์ที่คล้ายศรในลาส์โกซ์บางครั้งก็ตีความหมายกันว่าเป็นปฏิทินหรือหนังสืออัลมาแนค แต่ก็ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะสรุปอะไรได้แน่นอน
งานที่สำคัญที่สุดของยุคหินกลางคือภาพการเดินทัพของนักการสงครามที่เป็นจิตรกรรมผนังหินที่ชิงเกิลเดอลาโมลา (Cingle de la Mola) ในกัสเตยอง (Castellón) ในประเทศสเปนที่เขียนราวระหว่าง 7,000 ถึง 4,000 ก่อนคริสต์ศักราช วิธีเขียนอาจจะเป็นการพ่นสารสีบนผนัง การเขียนมีลักษณะเป็นธรรมชาติแต่ก็ตกแต่งเพิ่มบ้าง รูปที่วาดมีลักษณะเป็นสามมิติแต่ทับกัน
งานศิลปะของอินเดียที่เก่าที่สุดเป็นจิตรกรรมผนังหินจากยุคก่อนประวัติศาสตร์ จิตรกรรมขูดหิน (Petroglyph) ที่พบในที่ต่างๆ เช่นที่หลบหินที่บิมเบ็ตคา บางแห่งก็มีอายุเก่ากว่า 5500 ก่อนคริสต์ศักราช งานเขียนประเภทนี้ทำต่อกันมาเป็นเวลาหลายพันปี ในคริสต์ศตวรรษที่ 7 เสาสลักแห่งอจันตา (Ajanta) ในรัฐมหาราษฏระในประเทศอินเดียแสดงให้เห็นถึงความงดงามของจิตรกรรมของอินเดียและสีที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นสีแดงและส้มเป็นสีที่ทำมาจากแร่ธาตุ
Bermuda Triangle สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา น่านน้ำอาถรรพ์
สถานที่ : มหาสมุทรแอตแลนติคภาคตะวันตก ไปถึงตอนใต้ของรัฐฟลอริดา และเปอร์โตริโก
สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา (อังกฤษ: Bermuda Triangle) หรืออาจรู้จักกันในชื่อ สามเหลี่ยมปีศาจ (อังกฤษ: Devil's Triangle) เป็นพื้นที่สมมุติทางตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ซึ่งมีการอ้างว่าอากาศยานและเรือผิวน้ำจำนวนหนึ่งหายสาบสูญไปโดยหาสาเหตุมิได้ในบริเวณดังกล่าว วัฒนธรรมสมัยนิยมได้ให้เหตุผลของการหายสาบสูญว่าเป็นเรื่องของปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติหรือฐานทัพของสิ่งมีชีวิตนอกโลก หลักฐานซึ่งบันทึกไว้ได้ระบุว่า เหตุการณ์การหายสาบสูญของอากาศยานและเรือผิวน้ำส่วนใหญ่ได้รับรายงานอย่างไม่ถูกต้องหรือถูกเสริมแต่งโดยนักประพันธ์ในช่วงหลัง และหน่วยงานของรัฐหลายแห่งได้กล่าวว่า จำนวนและธรรมชาติของการหายสาบสูญไปในพื้นที่ดังกล่าวก็มีลักษณะเช่นเดียวกับการหายสาบสูญไปในมหาสมุทรส่วนอื่น ๆ ของโลก
พื้นที่
สามเหลี่ยมเบอร์มิวดามีเนื้อที่ประมาณ 1.14 ล้านตารางกิโลเมตร (4.4 แสนตารางไมล์) อยู่ระหว่างจุด 3 จุด ได้แก่ เปอร์โตริโก ปลายสุดของรัฐฟลอริดาในสหรัฐอเมริกา และเกาะเบอร์มิวดา ซึ่งเป็นเกาะตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติกและดินแดนในปกครองของสหราชอาณาจักร มีพื้นที่ครอบคลุมช่องแคบฟลอริดา หมู่เกาะบาฮามาส และหมู่เกาะแคริบเบียนทั้งหมด แต่แนวคิดที่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายกว่า (เนื่องจากปรากฏในงานเขียนจำนวนมาก) ระบุว่า จุดปลายสุดของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ได้แก่ ชายฝั่งแอตแลนติกของไมแอมี, ซานฮวน (บนเกาะเปอร์โตริโก) และเกาะเบอร์มิวดา ด้วยเหตุว่าอุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดขึ้นตามแนวชายฝั่งด้านใต้โดยรอบหมู่เกาะบาฮามาสและช่องแคบฟลอริดา
พื้นที่ดังกล่าวเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินเรือพาณิชย์ที่หนาแน่นที่สุดในโลก โดยมีเรือผ่านพื้นที่นี้เป็นประจำทุกวันมุ่งหน้าไปยังเมืองท่าในทวีปอเมริกา ทวีปยุโรป และหมู่เกาะแคริบเบียน เรือสำราญที่ผ่านพื้นที่นี้ก็มีมากเช่นกัน เรือเที่ยวเองก็มักจะมุ่งหน้าไปและกลับระหว่างฟลอริดากับแคริบเบียนอยู่เป็นปกติ นอกจากนี้ ยังเป็นพื้นที่ซึ่งมีการสัญจรทางอากาศอย่างหนาแน่น ทั้งอากาศยานพาณิชย์และส่วนตัว ซึ่งมุ่งหน้าไปยังฟลอริดา แคริบเบียน และทวีปอเมริกาใต้
Easter Island ยักษ์ใหญ่แห่งเกาะอีสเตอร์
สถานที่ : เกาะอีสเตอร์ มหาสมุทรแปซิฟิค, ชิลี
เกาะอีสเตอร์ (อังกฤษ: Easter Island); เกาะราปานูอี (ราปานูอี: Rapa Nui) หรือ เกาะปัสกัว (สเปน: Isla de Pascua) ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก อยู่ในการปกครองของประเทศชิลี ตัวเกาะห่างจากฝั่งประเทศชิลีไปทางทิศตะวันตกกว่า 3,600 กิโลเมตร เกาะที่ใกล้เกาะอีสเตอร์มากที่สุดอยู่ห่างฝั่งจากถึง 2,000 กิโลเมตร จึงได้ชื่อว่าเป็นสถานที่อันโดดเดี่ยวแห่งหนึ่งของโลก ลักษณะของเกาะมีขนาดเล็ก มีพื้นที่เพียง 160 ตารางกิโลเมตร มีความยาว 25 กิโลเมตร
ประวัติศาสตร์
ปี ค.ศ. 1680 เป็นช่วงที่ชาวเผ่าสองเผ่าที่อยู่บนเกาะ ซึ่งมีชนเผ่าหูสั้น (คาดว่าเป็นพวกที่มาจากเกาะแถบโปลีนีเซีย) กับเผ่าหูยาว (คาดว่ามาจากอเมริกาใต้) ซึ่งอยู่อย่างสงบมาช้านานได้ทะเลาะกันและทำสงครามกัน ทำให้ป่าเริ่มหมด สภาพดินเริ่มเสื่อมลง เผ่าหูสั้นซึ่งมีประชากรน้อยกว่ากลับชนะเผ่าหูยาว และช่วงที่ทำการรบอยู่นั้น พวกชาวเผ่าหูสั้นก็ได้ทำลายรูปปั้นหินและโคนรูปเกาะสลักเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นได้มีสงครามและความอดอยากเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
ในปี ค.ศ. 1722 นักเดินเรือชาวดัตช์นำโดย ยาโกบ โรคเคเฟน (Jacob Roggeveen) เป็นชาวยุโรปกลุ่มแรกที่เข้ามาถึงได้เดินทางมาพบเกาะนี้ในวันอาทิตย์อีสเตอร์[3] และได้ค้นพบว่าบนเกาะมีชนเผ่าอาศัยอยู่สองเผ่า และได้ตั้งชื่อเกาะให้ตรงกับวันที่ได้พบคือวันอีสเตอร์ ในปี ค.ศ. 1770 นักเดินเรือชาวสเปนที่เดินทางมาจากเปรูได้ค้นพบเกาะนี้อีกครั้ง ซึ่งขณะนั้นบนเกาะมีซึ่งมีชาวพื้นเมืองอาศัยอยู่ มีประชากรราว 3,000 คน แต่สี่ปีให้หลังจากนั้น กับต้นเจมส์ คุกที่เดินทางสำรวจแถบแปซิฟิกครั้งที่สอง ก็ได้พบเกาะอีสเตอร์ ซึ่งขณะนั้นประชากรบนเกาะเหลืออยู่เพียง 600-700 คน และมีผู้หญิงอยู่เพียง 30 คนเท่านั้น (มีการเล่าต่อกันมาว่าอาจเกิดจากการที่ผู้หญิงและเด็กถูกจับกิน จึงทำให้เด็กกับผู้หญิงลดน้อยลง) ตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19จำนวนประชากรได้เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย
ในปี ค.ศ. 1862 รัฐบาลเปรูได้กวาดต้อนชาวพื้นเมืองชายประมาณ 1,000 คนไปเป็นทาสบนแผ่นดินใหญ่ แต่ไม่กี่เดือนให้หลัง หลังจากทาส 15 คนที่ได้รับการปล่อยตัวเพื่อกลับมาที่เกาะ ก็ได้นำเชื้อไข้ทรพิษกลับเข้ามาด้วย ทำให้ชาวเกาะซึ่งไม่มีภูมิคุ้มกันได้ติดโรคร้ายไปด้วย ทำให้ประชากรลดลงไปมาก จากการที่ชาวพื้นเมืองไม่ได้บันทึกอะไรไว้เลย สิ่งที่ถ่ายทอดไปสู่คนรุ่นหลังคือเล่าจากปากต่อปาก ต้นตอของสิ่งต่าง ๆ จึงได้ตายหายไปพร้อมกับชาวพื้นเมืองที่ลดจำนวนลงไปด้วย แม้จะมีข้อความสัญลักษณ์ แต่ก็ไม่สามารถถอดความได้ และยังหาคำอธิบายไม่ได้ว่าชาวเกาะอีสเตอร์ได้อพยพมาจากที่ใด
ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ประเทศชิลีก็ได้ผนวกเกาะอีสเตอร์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศในปี ค.ศ. 1888 หลังจากนั้นประชากรบนเกาะก็เพิ่มขึ้นอีกครั้ง
รูปสลักหินขนาดยักษ์
ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ที่มาของชาวพื้นเมืองบนเกาะ แต่ชาวพื้นเมืองก็ได้สร้างรูปสลักยักษ์ขึ้น ซึ่งสร้างจากหินและกากแร่ภูเขาไฟหรือหินบะซอลต์ ซึ่งรูปสลักในยุกแรกจะเป็นรูปสลักคนนั่งคุกเข่าในช่วงประมาณ ค.ศ. 380 ในยุคถัดมาเริ่มต้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1100 จะสลักเป็นรูปที่เรียกว่า โมไอ ซึ่งเป็นที่โดดเด่นทั่วไปบนเกาะ
Sacsayhuaman กำแพงหิน ป้อมปราการยักษ์
สถานที่ : เมืองคัซโค, เปรู
Sacsayhuamán ซึ่งสามารถสะกดได้หลายแบบ (อาจมาจากภาษา Quechua, waman falcon หรือ variable hawk) เป็นป้อมปราการในเขตชานเมืองด้านเหนือของเมือง Cusco เปรู เมืองหลวงประวัติศาสตร์ของอาณาจักรอินคา
คอมเพล็กซ์แห่งนี้สร้างขึ้นโดยชาวอินคาในศตวรรษที่ 15 โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้ Pachcuti และผู้สืบทอด พวกเขาสร้างกำแพงหินแห้งที่สร้างด้วยหินก้อนใหญ่ คนงานตัดหินก้อนใหญ่ให้แน่นโดยไม่ใช้ปูน ไซต์นี้อยู่ที่ระดับความสูง 3,701 ม. (12,142 ฟุต) ในปี 1983 Cusco และ Sacsayhuamán ร่วมกันถูกกำหนดให้เป็นแหล่งมรดกโลกของ UNESCO สำหรับการยอมรับและการปกป้องในระดับสากล
ประวัติศาสตร์
ป้อมปราการนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงชันที่มองเห็นเมือง ป้อมปราการแห่งนี้มีทัศนียภาพกว้างไกลของหุบเขาไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ การศึกษาทางโบราณคดีเกี่ยวกับคอลเล็กชันเครื่องปั้นดินเผาที่ Sacsayhuamán ระบุว่าการยึดครองที่เร็วที่สุดบนยอดเขานั้นมีอายุประมาณ 900 ซีอี
ตามประวัติศาสตร์ปากเปล่าของชาวอินคา Tupac Inca “จำได้ว่าพ่อของเขา Pachcuti เรียกเมือง Cuzco ว่าเมืองสิงโต เขาบอกว่าหางเป็นที่ที่แม่น้ำสองสายไหลผ่านมันว่าร่างนั้นเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสใหญ่และบ้านเรือนล้อมรอบและหัวก็ต้องการ ."
ชาวอินคาตัดสินใจว่า "หัวหน้าที่ดีที่สุดคือการสร้างป้อมปราการบนที่ราบสูงทางตอนเหนือของเมือง" :105 นักโบราณคดีคาดการณ์ว่าส่วนต่างๆ ของซัคเซฮวามานถูกสร้างขึ้นในช่วงยุคคิลเก ในช่วงศตวรรษที่ 15 ราชวงศ์อินคาได้ขยายพื้นที่ในบริเวณนี้ โดยสร้างกำแพงหินแห้งที่สร้างด้วยหินขนาดใหญ่
หลังจากการซุ่มโจมตี Atahualpa ระหว่างการพิชิตเปรูของสเปน ฟรานซิสโก ปิซาร์โรได้ส่งมาร์ติน บูเอโนและชาวสเปนอีกสองคนไปช่วยขนส่งทองคำและเงินจากวิหารโคริกันชาในกุสโกไปยังคาจามาร์กาที่ชาวสเปนอาศัยอยู่ :228–230 พวกเขาพบว่า วิหารแห่งดวงอาทิตย์ "หุ้มด้วยแผ่นทองคำ" ซึ่งคาดว่าชาวสเปนจะสั่งให้ถอดออกเพื่อชำระค่าไถ่ของ Atahualpa นำแผ่นจารึกเจ็ดร้อยแผ่นออก และเพิ่มเป็นทองคำสองร้อยถังที่ส่งกลับไปยัง Cajamarca
หลังจากฟรานซิสโก ปิซาร์โรเข้าสู่กุสโกในที่สุด เปโดร ปิซาร์โรก็บรรยายถึงสิ่งที่พวกเขาพบ
"บนยอดเขาพวกเขา [ชาวอินคา] มีป้อมปราการที่แข็งแรงมากล้อมรอบด้วยกำแพงหินและมีหอคอยกลมที่สูงมากสองแห่ง และในส่วนล่างของกำแพงนี้มีหินขนาดใหญ่และหนามากจนดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ มือมนุษย์สามารถทำให้พวกมันเข้าที่...พวกมันอยู่ใกล้กันมากและพอดีกันจนไม่สามารถสอดเข็มหมุดเข้าไปที่ข้อใดข้อหนึ่งได้ ป้อมปราการทั้งหลังถูกสร้างขึ้นในเฉลียงและพื้นที่ราบ ." ในห้องต่างๆ มากมาย "เต็มไปด้วยอาวุธ ทวน ลูกศร ปาเป้า ไม้คฑา โล่และโล่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่...มีมอริออนมากมาย...ยังมี...เปลหามซึ่งท่านลอร์ดใช้เดินทาง เช่นเดียวกับในครอก " :45 เปโดร ปิซาร์โรอธิบายไว้ในห้องเก็บของโดยละเอียดซึ่งอยู่ภายในอาคารและเต็มไปด้วยยุทโธปกรณ์ทางทหาร
พลาซ่าขนาดใหญ่ที่จุคนได้หลายพันคน ได้รับการออกแบบสำหรับกิจกรรมพิธีของชุมชน โครงสร้างขนาดใหญ่หลายแห่งในบริเวณนี้อาจถูกนำไปใช้ในระหว่างพิธีกรรม ความสัมพันธ์ที่คล้ายคลึงกันระหว่าง Cuzco และ Sacsayhuamán ถูกจำลองโดย Inca ในอาณานิคมที่อยู่ห่างไกลซึ่ง Santiago ชิลีพัฒนาขึ้น ป้อมปราการ Inca ที่นั่นหรือที่รู้จักในชื่อ Chena เป็นเมืองอาณานิคมของสเปน เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมที่เรียกว่า Huaca de Chena
เขต Sacsayhuamán ที่ขึ้นชื่อที่สุดประกอบด้วยพลาซ่าขนาดใหญ่และกำแพงระเบียงขนาดใหญ่สามแห่งที่อยู่ติดกัน หินที่ใช้ในการก่อสร้างระเบียงเหล่านี้อยู่ในกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดที่ใช้ในอาคารใด ๆ ในอเมริกายุคก่อนฮิสแปนิก พวกเขาแสดงความแม่นยำของการตัดและการติดตั้งที่ไม่มีใครเทียบได้ในอเมริกา หินมีระยะห่างกันมากจนกระดาษแผ่นเดียวไม่พอดีกับหินหลายก้อน ความแม่นยำนี้ เมื่อรวมกับมุมโค้งมนของบล็อก ความหลากหลายของรูปทรงที่เชื่อมต่อกัน และลักษณะที่ผนังเอนเข้าด้านใน เชื่อว่าช่วยให้ซากปรักหักพังรอดพ้นจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในกุซโก กำแพงทั้งสามที่ยาวที่สุดคือประมาณ 400 เมตร มีความสูงประมาณ 6 เมตร ปริมาณหินโดยประมาณมากกว่า 6,000 ลูกบาศก์เมตร ประมาณการสำหรับน้ำหนักของบล็อกแอนดีไซต์ที่ใหญ่ที่สุดมีตั้งแต่ 128 ตันจนถึงเกือบ 200 ตัน
หลังจากการล้อมเมืองกุสโก ชาวสเปนเริ่มใช้ Sacsayhuamán เป็นแหล่งหินสำหรับสร้าง Spanish Cuzco; ภายในเวลาไม่กี่ปี พวกเขาได้รื้อถอนและรื้อถอนอาคารส่วนใหญ่ เว็บไซต์นี้ถูกทำลายโดยช่วงตึกเพื่อกอบกู้วัสดุที่ใช้สร้างอาคารรัฐบาลและศาสนาแห่งใหม่ของสเปนในเมืองอาณานิคม เช่นเดียวกับบ้านของชาวสเปนที่ร่ำรวยที่สุด ในคำพูดของ Garcilaso de la Vega (1966:471 [1609: Part 1, Book. Bk. 7, Ch.):
“เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ความพยายาม และความล่าช้าในการที่ชาวอินเดียนแดงใช้หิน พวกเขาจึงรื้ออิฐเรียบๆ ที่ก่อในกำแพงลงมา ไม่มีบ้านในเมืองใดที่ยังไม่ได้สร้างจากหินก้อนนี้ หรืออย่างน้อยก็ไม่มีบ้านใดในเมืองนี้ บ้านที่สร้างโดยชาวสเปน”
ทุกวันนี้ มีเพียงหินที่ใหญ่เกินกว่าจะเคลื่อนย้ายได้ง่ายเท่านั้นที่ยังคงอยู่ที่ไซต์ เมื่อวันที่ 13มีนาคม พ.ศ. 2551 นักโบราณคดีได้ค้นพบซากปรักหักพังเพิ่มเติมที่บริเวณรอบนอกของซัคไซฮวามาน มีทฤษฎีว่าสร้างขึ้นในสมัยคิลเก ซึ่งก่อนอินคา ในขณะที่ดูเหมือนเป็นพิธีการในธรรมชาติ หน้าที่ที่แน่นอนยังไม่ทราบในเดือนมกราคม 2553 พื้นที่บางส่วนได้รับความเสียหายในช่วงที่มีฝนตกหนักในภูมิภาค
Stonehenge กลุ่มหินปริศนาแห่งอังกฤษ
สถานที่ : ทุ่งราบซัลลิสเบอร์รี่ ตอนใต้ของอังกฤษ
สโตนเฮนจ์ (อังกฤษ: Stonehenge) เป็นอนุสรณ์สถาน ยุคก่อนประวัติศาสตร์ กลางทุ่งราบกว้างใหญ่บนที่ราบซอลส์บรี (Salisbury Plain) ในบริเวณตอนใต้ของเกาะอังกฤษ ตัวอนุสรณ์สถานประกอบด้วยแท่งหินขนาดยักษ์ 112 ก้อน ตั้งเรียงกันเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง แท่งหินบางอันตั้งขึ้น บางอันวางนอนลง และบางอันก็ถูกวางซ้อนกัน
นักโบราณคดีเชื่อว่ากลุ่มกองหินนี้ถูกสร้างขึ้นจากที่ไหนสักแห่งเมื่อประมาณ 3000–2000 ปีก่อนคริสตกาล กล่าวคือ การหาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสีเมื่อ พ.ศ. 2551 เผยให้เห็นว่าหินก้อนแรกถูกวางตั้งเมื่อประมาณ 2400–2200 ปีก่อนคริสตกาล ในขณะที่ทฤษฎีอื่น ๆ ระบุว่ากลุ่มหินที่ถูกวางตั้งมาตั้งแต่ก่อนหน้านั้นถึง 3000 ปีก่อนคริสตกาล
นักวิทยาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ต่างสงสัยว่า คนในสมัยก่อนสามารถยกแท่งหินที่มีน้ำหนักกว่า 30 ตัน ขึ้นไปวางเรียงกันได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ปราศจากเครื่องทุ่นแรงอย่างที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน และบริเวณที่ราบดังกล่าวไม่มีก้อนหินขนาดมหึมานี้ ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่าผู้สร้างต้องทำการชักลากแท่งหินยักษ์ทั้งหมดมาจากที่อื่น ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจาก "ทุ่งมาร์ลโบโร" ที่อยู่ไกลออกไปประมาณ 40 กิโลเมตร
สโตนเฮนจ์และบริเวณโดยรอบได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1986 และยังถูกจัดให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางอีกด้วย
Nazca Lines ลายเส้นขนาดยักษ์
สถานที่ : ที่ราบนาซก้า, เปรู
เส้นนัซกา (สเปน: líneas de Nazca) เป็นลายเส้นลึกลับที่กินอาณาเขตพื้นที่กว่า 520 ตารางกิโลเมตรบนทะเลทรายนัซกา ระหว่างเมืองนัซกากับเมืองปัลปาในแคว้นอิกา ประเทศเปรู สันนิษฐานว่าชาวนัซกาโบราณ (ซึ่งครอบครองดินแดนเปรูมาก่อนยุคจักรวรรดิอินคา) ขุดลายเส้นเหล่านี้ขึ้นเมื่อประมาณ 200 ปีก่อนคริสตกาลถึงประมาณปี ค.ศ. 500 ชาวนัซกาโบราณเป็นเกษตรกรเพาะปลูกอยู่บนที่ราบชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ไม่ได้ทิ้งหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรไว้เลย ที่พอจะเข้าใจได้บ้างก็มาจากการศึกษาสุสานและข้าวของเครื่องใช้ในหลุมฝังศพเท่านั้น ซึ่งไม่ทราบแน่ชัดว่าเพราะเหตุใดพวกเขาจึงทำลวดลายเหล่านี้ขึ้น
ลายเส้นนัซกาที่ทำขึ้นเป็นแบบวิธีเดียวกันหมด คือ ขุดเอาหินทรายสีแดงบนพื้นผิวทะเลทรายออก แล้วเปิดให้เห็นชั้นหินสีเหลืองอ่อนที่อยู่ข้างใน ไม่มีร่องรอยการใช้สัตว์ช่วยแม้แต่น้อย และภาพเป็นเส้นเดียวไม่ขาดตอน ภาพของลายเส้นนัซกาแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ คือภาพที่เป็นรูปทรงและภาพที่เป็นเส้นลายเฉย ๆ มีภาพสัตว์ นก รูปเรขาคณิต เป็นต้น
เส้นนัซกาได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. 2537
Dendera Temple สิ่งประดิษฐ์ผิดยุค
สถานที่ : เมืองเดนเดร่า, อียิปต์
คอมเพล็กซ์ Dendera Temple พิกัด : 26 ° 8′30″ N 32 ° 40′13″ E/ 26.14167 ° N 32.67028 ° E
วัด Dendera ซับซ้อน ( อียิปต์โบราณ : IunetหรือTantere ; ศตวรรษที่ 19 การสะกดคำภาษาอังกฤษในแหล่งที่มาส่วนใหญ่รวมทั้งBelzoniเป็นTentyra ; ยังสะกดDenderah ) ตั้งอยู่ประมาณ 2.5 กิโลเมตร (1.6 ไมล์) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของDendera อียิปต์ เป็นวิหารที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดแห่งหนึ่งในอียิปต์ พื้นที่ที่ถูกนำมาใช้เป็นที่หกNomeของสังคมอียิปต์ทางตอนใต้ของอบีดอส
คำอธิบาย
คอมเพล็กซ์ทั้งหมดครอบคลุมพื้นที่ 40,000 ตารางเมตรและล้อมรอบด้วยกำแพงล้อมรอบด้วยอิฐโคลนขนาดใหญ่ Dendera อาศัยอยู่ในยุคดึกดำบรรพ์ซึ่งเป็นโอเอซิสที่มีประโยชน์ริมฝั่งแม่น้ำไนล์ ดูเหมือนว่าฟาโรห์เปปิที่ 1 (ประมาณ 2250 ปีก่อนคริสตกาล) สร้างขึ้นบนไซต์นี้และมีหลักฐานว่าเป็นวัดในราชวงศ์ที่สิบแปด (ประมาณ 1500 ปีก่อนคริสตกาล) อาคารที่เก่าแก่ที่สุดในบริเวณนี้คือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เลี้ยงโดยNectanebo II – สุดท้ายของฟาโรห์พื้นเมือง (360–343 ปีก่อนคริสตกาล) คุณสมบัติในคอมเพล็กซ์ ได้แก่ :
วัด Hathor (วิหารหลัก)
วิหารแห่งการเกิดของไอซิส
ทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์
โรงพยาบาล
Mammisi แห่ง Nectanebo II
มหาวิหารคริสเตียน
โรมัน Mammisi
ศาลเจ้าบาร็อค
เกตเวย์ของDomitianและTrajan
คีออสก์โรมัน
อยู่บริเวณใกล้เคียงเป็นป่าช้า Dendera , ชุดของmastaba สุสาน ป่าช้าวันจากช่วงต้นราชวงศ์ระยะเวลาของอาณาจักรเก่าไปช่วงแรกระดับกลางของอียิปต์ สุสานวิ่งไปทางขอบด้านตะวันออกของเนินเขาด้านตะวันตกและเหนือที่ราบทางตอนเหนือ
วัด Hathor
อาคารที่โดดเด่นในที่ซับซ้อนเป็นวัดHathor วัดได้รับการแก้ไขในเว็บไซต์เดียวกันเริ่มต้นที่ไกลกลับเป็นราชอาณาจักรกลางและการศึกษาขวาขึ้นจนกว่าจะถึงเวลาของจักรพรรดิโรมันTrajan โครงสร้างที่มีอยู่เริ่มก่อสร้างในช่วงปลายยุคทอเลเมอิกในช่วงเวลาของปโตเลมีออลเตสในเดือนกรกฎาคม 54 ก่อนคริสตศักราช และ hypostyle ห้องโถงถูกสร้างขึ้นในสมัยโรมันภายใต้Tiberius
ในอียิปต์Trajanค่อนข้างกระตือรือร้นในการสร้างอาคารและตกแต่ง ดูเหมือนว่าเขาพร้อมกับDomitianในฉากที่เสนอขายใน propylon ของวัด Hathor เขาcartoucheยังปรากฏอยู่ในเพลาคอลัมน์ของวิหาร Khnum ที่เสนะ
เค้าโครงองค์ประกอบของพระวิหาร ได้แก่ :
Hypostyle Hallขนาดใหญ่
ห้องโถง Hypostyle ขนาดเล็ก
ห้องปฏิบัติการ
นิตยสารการจัดเก็บ
เสนอรายการ
ธนารักษ์
ออกไปที่ดี
เข้าถึงบันได
เสนอห้องโถง
ห้องโถงEnnead
ที่นั่งที่ดีและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หลัก
ศาลเจ้าแห่ง Nome of Dendera
ศาลเจ้าแห่งไอซิส
ศาลเจ้าโซคาร์
ศาลเจ้าHarsomtus
ศาลเจ้าแห่งSistrumของ Hathor
ศาลเทพเจ้าแห่งอียิปต์ล่าง
ศาลเจ้าHathor
ศาลเจ้าบัลลังก์แห่งร
ศาลเจ้าแห่งร
ปลอกคอของศาลเจ้าMenat
ศาลเจ้าแห่งIhy
เดอะเพียวเพลส
ศาลในงานเลี้ยงครั้งแรก
ทางเดิน
บันไดขึ้นหลังคา
ภาพของคลีโอพัตราที่ 6 ซึ่งปรากฏบนผนังวิหารเป็นตัวอย่างที่ดีของศิลปะอียิปต์แบบทอเลมาอิกบนด้านหลังของพระวิหารด้านนอกเป็นแกะสลักของคลีโอพัตราปกเกล้าเจ้าอยู่หัวPhilopator (คนนิยมที่รู้จักกันดีคลีโอพัตรา ) และลูกชายของเธอปโตเลมี XV Philopator Philometor ซีซาร์ ( ซีซา ) ที่ถูกพระสันตะปาปาจูเลียสซีซาร์
Pyramids of Giza มหาพีระมิดเมืองกิซา
สถานที่ : เมืองกิซ่า, อียิปต์
พีระมิดคูฟูหรือ พีระมิดคีออปส์ นิยมเรียกกันโดยทั่วไปว่า มหาพีระมิดแห่งกีซา (อังกฤษ: The Great Pyramid of Giza) เป็น พีระมิดในประเทศอียิปต์ที่มีความใหญ่โตและเก่าแก่ที่สุด ในหมู่พีระมิดทั้งสามแห่งกีซา เชื่อกันว่าสร้างขึ้นในสมัย ฟาโรห์คูฟู (Khufu) แห่ง ราชวงศ์ที่ 4 ซึ่งปกครองอียิปต์โบราณ เมื่อประมาณ 2,600 ปีก่อนคริสตกาล หรือกว่า 4,600 ปีมาแล้ว เพื่อใช้เป็นที่เก็บรักษาพระศพ ไว้รอการกลับมาคืนชีพ ตามความเชื่อของชาวอียิปต์ในยุคนั้น มหาพีระมิดนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก และเป็นหนึ่งเดียว ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณ ที่ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
ขนาดและรูปทรงของพีระมิดคูฟู
เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จในสมัยของฟาโรห์คูฟู มหาพีระมิด มีความสูงถึง 147 เมตร (481 ฟุต หรือประมาณเท่ากับอาคารสูง 40 ชั้น เมื่อคิดความสูงที่ชั้นละ 3.5 เมตร) นับจากก่อสร้างแล้วเสร็จ พีระมิดคูฟูนับเป็นสิ่งก่อสร้างสูงที่สุดในโลก เป็นเวลาต่อเนื่องยาวนานถึง 43 ศตวรรษ จนกระทั่ง มีการก่อสร้าง มหาวิหารลินคอล์น (Lincoln Cathedral) ที่ ประเทศอังกฤษ ซึ่งมียอดวิหารสูง 160 เมตร ในปี พ.ศ. 1843 (ค.ศ. 1300) ซึ่งต่อมายอดวิหารนี้ถูกพายุทำลายในปี พ.ศ. 2092 (ค.ศ. 1549) แต่ขณะนั้นส่วนยอดพีระมิดคูฟูก็สึกกร่อนลงจนมีความสูงไม่ถึง140 เมตร ทำให้ วิหารเซนต์โอลาฟ (St. Olav's Church) ในประเทศเอสโตเนีย ซึ่งเพิ่งก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2062 (ค.ศ. 1519) กลายเป็นสิ่งก่อสร้างสูงที่สุดในโลกด้วยความสูงของยอดวิหาร 159 เมตร ปัจจุบันมหาพีระมิดมีความสูง ประมาณ 137 เมตร ซึ่งต่ำกว่าเมื่อแรกสร้างประมาณ 10 เมตร และรัฐบาลอียิปต์ได้ดำเนินการติดตั้ง โครงโลหะเพื่อแสดงถึงความสูงที่แท้จริง ขณะก่อสร้างแล้วเสร็จ ไว้ที่ส่วนยอดของ มหาพีระมิดคูฟู
รูปทรงของพีระมิดมีลักษณะเฉพาะตัว ฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ประกอบด้วยด้านสามเหลี่ยม 4 ด้าน ยอดสามเหลี่ยมแต่ละด้าน เอียงเข้าบรรจบกัน เป็นยอดแหลม ฐานทั้ง 4 ด้านของพีระมิด กว้างด้านละประมาณ 230 เมตร (756 ฟุต กว้างกว่า สนามฟุตบอล ต่อกัน 2 สนาม) คิดเป็นพื้นที่ฐานประมาณ 53,000 ตารางเมตรหรือประมาณ 33 ไร่ ฐานล่างสุดของพีระมิด ก่อขึ้นบนชั้นหินแข็ง ซึ่งอยู่ลึกลงไปใต้ชั้นทราย เพื่อป้องกันปัญหา การทรุดตัวของชั้นทราย ซึ่งจะมีผล กับความคงทนแข็งแรง ของโครงสร้างพีระมิด ผิวหน้าแต่ละด้านของ พีระมิดคูฟู ทำมุมเอียงประมาณ 52 องศา ซึ่งมีส่วนทำให้พีระมิด คงทนต่อการสึกกร่อน อันเนื่องมาจากพายุทราย
ตามที่มีข้อมูลปรากฏในแหล่งต่างๆ อ้างถึง จำนวนหิน ที่นำมาก่อสร้าง พีระมิดคูฟู ต่างกันไปตั้งแต่ 2 ล้านถึง 2.6 ล้านก้อน ประมาณน้ำหนักเฉลี่ยก้อนละ 2.5 ตัน โดยจัดเรียงซ้อนกันขึ้นไปประมาณ 200 ชั้น คิดเป็นน้ำหนักรวมกว่า 6 ล้านตัน
สิ่งที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งคือด้านทั้ง 4 ของพีระมิดหันออกในแนวทิศ เหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก ถูกต้องแม่นยำตามทิศจริงไม่ใช่ตามทิศเหนือแม่เหล็ก จึงไม่ใช่การกำหนดทิศด้วยเข็มทิศ ตำแหน่งของพีระมิดนั้น คลาดเคลื่อนจากทิศเหนือเพียง 3 ลิปดา 6 พิลิปดา แสดงถึงความสามารถของ ชาวอียิปต์โบราณ ในการประยุกต์ความรู้ทางดาราศาสตร์ มาใช้ในการกำหนดทิศทางได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้คนงานก่อสร้างพีระมิดคูฟูยังสามารถทำงานได้อย่างเที่ยงตรงน่าทึ่ง โดยหินตรงส่วนฐานของพีระมิดจัดวางได้เสมอกัน มีความคลาดเคลื่อน เพียงไม่ถึง 2.5 เซนติเมตร และแต่ละด้านของฐานพีระมิด มีความกว้างคลาดเคลื่อนจากกัน เพียงไม่เกิน 8 นิ้ว หรือคิดเป็นเพียง 0.09 % ซึ่งถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับขนาดงานก่อสร้าง และระดับเทคโนโลยีในขณะนั้น
Teotihuacán เตโอติฮวากัน เมืองโบราณที่ไม่รู้ใครสร้าง
สถานที่ : ประเทศเม็กซิโก ตั้งอยู่ห่างจาก Mexico City ประมาณ 40 กิโลเมตร
เตโอติอัวกัน เป็นของโบราณ เมโสอเมริกา เมืองที่ตั้งอยู่ในหุบเขาย่อยของ หุบเขาเม็กซิโกซึ่งตั้งอยู่ใน รัฐเม็กซิโก 40 กิโลเมตร (25 ไมล์) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสมัยปัจจุบัน เม็กซิโกซิตี้ ปัจจุบัน Teotihuacan เป็นที่รู้จักในฐานะที่ตั้งของสถาปัตยกรรมที่มีความสำคัญมากที่สุด ปิรามิด Mesoamerican สร้างขึ้นใน พรีโคลัมเบียน อเมริกา เมื่อถึงจุดสุดยอดบางทีในช่วงครึ่งแรกของสหัสวรรษแรก (1 CE ถึง 500 CE) Teotihuacan เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาก่อนยุคโคลัมเบียโดยมีประชากรประมาณ 125,000 คนขึ้นไป ทำให้เมืองนี้เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับหกของโลกในช่วงยุคนั้น หลังจากการล่มสลายของ Teotihuacan ตอนกลางของเม็กซิโกถูกครอบงำโดย โทลเทค ของ Tula จนถึงประมาณ 1150 CE
เมืองครอบคลุมแปดตารางไมล์; 80 ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมดของหุบเขาอาศัยอยู่ใน Teotihuacan นอกเหนือจากปิรามิดแล้ว Teotihuacan ยังมีความสำคัญทางมานุษยวิทยาสำหรับสารประกอบที่อยู่อาศัยที่ซับซ้อนหลายครอบครัว Avenue of the Dead และมีชีวิตชีวาและได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ภาพจิตรกรรมฝาผนัง. นอกจากนี้ Teotihuacan ยังส่งออกได้ดี ออบซิเดียน เครื่องมือที่พบได้ทั่ว Mesoamerica เมืองนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 100 ก่อนคริสตศักราชโดยมีอนุสรณ์สถานสำคัญ ๆ อยู่ระหว่างการก่อสร้างจนถึงประมาณ 250 ซีอี เมืองนี้อาจอยู่ได้จนถึงช่วงระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 7 ถึง 8 แต่อนุสาวรีย์ที่สำคัญของเมืองนี้ถูกไล่ออกและถูกเผาอย่างเป็นระบบประมาณ 550 CE
Teotihuacan เริ่มต้นจากการเป็นศูนย์กลางทางศาสนาในที่ราบสูงเม็กซิกันประมาณศตวรรษแรกซีอี มันกลายเป็นศูนย์กลางที่ใหญ่ที่สุดและมีประชากรมากที่สุดในอเมริกาก่อนยุคโคลัมเบีย Teotihuacan เป็นที่ตั้งของอาคารอพาร์ตเมนต์หลายชั้นที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับประชากรจำนวนมาก คำว่า Teotihuacan (หรือ Teotihuacano) ยังใช้สำหรับอารยธรรมและความซับซ้อนทางวัฒนธรรมทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับไซต์
แม้ว่าจะมีการถกเถียงกันว่าเตโอติอัวกันเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรของรัฐ แต่ก็มีอิทธิพลอยู่ตลอด เมโสอเมริกา ได้รับการบันทึกไว้อย่างดี หลักฐานการปรากฏตัวของ Teotihuacano สามารถเห็นได้ในหลาย ๆ ไซต์ใน เวราครูซ และ ภูมิภาคมายา ในภายหลัง ชาวแอซเท็ก ได้เห็นซากปรักหักพังอันงดงามเหล่านี้และอ้างว่ามีบรรพบุรุษร่วมกันกับ Teotihuacanos ปรับเปลี่ยนและรับเอาแง่มุมของวัฒนธรรมของพวกเขามาใช้ เชื้อชาติของชาว Teotihuacan เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอยู่ ผู้สมัครที่เป็นไปได้คือ นาฮัว, โอโตมิ, หรือ Totonac กลุ่มชาติพันธุ์. นักวิชาการได้เสนอว่าเตโอตีอัวกันเป็นรัฐที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์เนื่องจากพวกเขาพบว่ามีแง่มุมทางวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกับชาวมายาเช่นเดียวกับ ชาว Oto-Pamean.
เมืองและโบราณสถานตั้งอยู่ในปัจจุบันคืออะไร San Juan Teotihuacán เทศบาล ใน รัฐMéxicoประมาณ 40 กิโลเมตร (25 ไมล์) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของ เม็กซิโกซิตี้ ไซต์ครอบคลุมพื้นที่ผิวทั้งหมด 83 ตารางกิโลเมตร (32 ตารางไมล์) และถูกกำหนดให้เป็น ยูเนสโก มรดกโลก ในปี 2530[6] เป็นแหล่งโบราณคดีที่มีผู้เยี่ยมชมมากที่สุดในเม็กซิโกโดยมีผู้เยี่ยมชม 4,185,017 คนในปี 2560