7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ Seven Wonders of the Ancient World

25 พฤษภาคม 2564 เวลา 14:25 / ผู้เข้าชม : 871 ความรู้เพิ่มเติมน่าสนใจ
7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ Seven Wonders of the Ancient World

         สำหรับสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณนั้นจะอยู่ในช่วงประมาณ 5,000 ปีก่อนคริสตกาล ถึงปีคริสตศักราช 500 โดยเรื่องราวของสิ่งเหล่านี้ถูกพบเป็นครั้งแรกในงานเขียนของกวีชาวกรีก นามว่า แอนติเพเตอร์แห่งไซดอน (Antipator of Saidon) ซึ่งนับเป็นการจัดทำบัญชี 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกเป็นบัญชีแรกของมนุษยชาติอีกด้วย แต่ส่วนใหญ่เป็นสิ่งก่อสร้างในแถบเมดิเตอเรเนียนตะวันออก (เชื่อว่าน่าจะเพราะยังไม่มีการเดินเรือไปยังทวีปอื่นๆ แพร่หลายเท่ายุคถัดมา) มีทั้งหมด ดังนี้

มหาพีระมิดแห่งกีซา (The Great Pyramid of Giza)

มหาพีระมิดของกษัตริย์คูฟู ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ในอียิปต์ มีอายุราว 2,690 ปีก่อนคริสตกาล หรือเก่าแก่กว่านั้น เป็นสิ่งมหัศจรรย์เพียงอย่างเดียวที่เก่าแก่ที่สุด และยังคงตั้งอยู่จนยืนยงจนปัจจุบัน ใช้สำหรับเป็นที่เก็บรักษาพระศพฟาโรห์คูฟู (Khufu) สร้างขึ้นด้วยก้อนหินทรายทรงสี่เหลี่ยมประกอบกันกว่า2.3 ล้านก้อน สร้างยาวนานกว่า 20 ปี ใช้แรงงานไม่ต่ำกว่า 100,000 ชีวิต

ปัจจุบันวิธีการสร้างพีระมิดแห่งกีซายังคงเป็นปริศนา ด้วยความที่หินแต่ละก้อนมีน้ำหนักหลายตัน (ชิ้นที่ใหญ่ที่สุดหนักถึง 200 เมตริกตัน หนักเท่าชิ้นส่วนเรือไททานิค) แต่เทคโนโลยีในขณะนั้นยังไม่มีระบบปั้นจั่น ไม่รู้จักแม้กระทั่งล้อเลื่อน มีเพียงหลักฐานเป็นภาพแกะสลักนูนต่ำบนฝาผนังหิน ซึ่งแสดงการเคลื่อนย้ายเทวรูปหินขนาดใหญ่ด้วยแรงคนนับร้อยลากเข็นไปบนแคร่ไม้ ใช้การราดน้ำเพื่อช่วยลดแรงเสียดทาน แต่นั่นยังไม่สามารถตอบเราได้ว่าพวกเขาใช้วิธีใดลำเลียงหินขึ้นสู่บริเวณก่อสร้างในระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเทียบเท่าตึก 40 ชั้นในยุคปัจจุบันได้ ถึงขนาดที่มีทฤษฎีว่าพีระมิดแห่งเมืองอียิปต์นั้นอาจจะไม่ใช่ฝีมือของมนุษย์ในสมัยของอียิปต์โบราณ แต่อาจจะเป็นฝีมือของชาวแอตแลนติส 

CR : comstucvk631

สวนลอยแห่งบาบิโลน (HANGING GARDENS OF BABYLON)  

สวนลอยแห่งนี้สร้างโดยพระเจ้าเนบูคาดเนสซาร์ที่ 2 ประมาณ 605-562 ปีก่อนคริสตกาล ปัจจุบันไม่ปรากฏหลักฐานหรือแม้แต่ซากปรักให้เห็น แต่คาดว่าน่าจะอยู่บริเวณเดียวกับกรุงบาบิโลน เมืองมาฮาวีล (Mahaweel) ประเทศอิรัก 

มีการบรรยายถึงสวนแห่งนี้ไว้ว่ามีพื้นที่กว่า 400 ตารางฟุต สร้างสูงขึ้นไปเป็นชั้นๆ อุดมไปด้วยต้นไม้ดอกไม้นานาพันธุ์ มีระบบชักรอกเพื่อรถน้ำต้นไม้จากชั้นบน แล้วปล่อยให้ไหลลงตามชั้นต่างๆ พระเจ้าเนบูคาดเนสซาร์ที่ 2 ทรงให้สร้างไว้เพื่อเป็นอุทยานพักผ่อนของพระมเหสีของพระองค์ เพื่อบรรเทาความคิดถึงบ้านเกิดของพระนาง

CR : dailymotion

เทวรูปซูสที่โอลิมเปีย (The Statue of Zeus at Olympia)

อนุสาวรีย์นี้เป็นรูปสลักเทพเจ้าซีอุส นั่งบนบัลลังก์สีทองที่แกะสลักด้วยงาช้างจำนวนมากมาประกอบกันขึ้นผู้ที่ปั้นเทวรูปซีอุสนี้ เป็นปฏิมากรเอกชาวกรีก ชื่อ ฟีดีอัส เป็นคนเดียวกับที่สร้างวิหารพาเธนอน ในกรุงเอเธนส์ และสนามกีฬาโอลิมปิค

เทวรูปซีอุส เป็นสิ่งมหัศจรรย์ยุคเก่าแก่สิ่งหนึ่งของโลก คือ สร้างขึ้นประมาณ 2,400 ปีก่อน ระหว่างปี ค.ศ. 53 - 111 ตามตำนานที่จารึกไว้ได้ระบุว่าเทวรูปทำจากงาช้างสูง 58 ฟุต มีขนาดใหญ่กว่าคนปรกติถึง 8 เท่า พระหัตถ์ซ้ายทรงคทา พระหัตถ์ขวารองรับ รูปปั้นแห่งชัยชนะ (A small figure of Victory ) มีเครื่องประดับประดาด้วยทองคำล้วน ชาวโรมันเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า จูปีเตอร์ ชาวกรีกได้เรียกเทวรูปนี้ว่า ซุส ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นผู้นำแห่งเทพเจ้า ซึ่งชาวกรีกนับถื่อมากที่สุดในยุคนั้น ใครจะออกเดินทางไปเมืองใดต้องมาพรจากพระองค์เสียก่อน แต่บัดนี้ไม่มีหลักฐานให็เป็นที่ชมได้เพราะได้ถูกไฟเผาไหม้หมดทั้งองค์ในปี ค.ศ. 476 คงเห็นภาพในเหรียญตราโบราณ และจากจินตนาการที่ได้มาจากคำบอกเล่า หรือ นิยายปรัมปราเท่านั้น แต่ความงาม ความใหญ่โตศักดิสิทธิ์ยังคงเป็นที่ยกย่องเล่าลือมาจนถึงปัจจุบันนี้ 

CR : morepost.com

วิหารอาร์ทิมิส (The Temple of Artemis at Ephesus)

วิหารเทพีอาร์เทมิส ตุรกี เป็นวิหารสร้างด้วยหินอ่อน เลียบแบบศิลปะแบบกรีกโบราณ สร้างเพื่อถวายเทพเจ้าอาร์เทมีส หรือเทพเจ้าอารเตมิซ (เทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ของกรีก) ผู้มาจากสวรรค์ ผู้ช่วยชาวเมืองให้พ้นจากหายนะและภัยพิบัติได้ อยู่ในเมืองอีเฟซุสบนชายฝั่งแห่งหนึ่งปัจจุบันนี้ คือประเทศตุรกี ในรัชสมัยของกษัตริย์อเล็กซานเดอร์แห่งกรีก จัดเป็นวัดที่สวยงามแห่งหนึ่งจนกลายเป็นที่รู้จักว่า เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคเก่า 

ดินแดนแถบนี้หลังจากที่พวกกรีกหมดอำนาจลง,ยังมีพวกเปอเชียกับพวกมาเซโดเนีย(ยุคของอเล็กซานดรา) แล้วก็พวกโรมันเข้ามาครอบครอง.แต่ละชนชาติดังกล่าวให้ความเคารพและเพิ่มพูนสิ่งประดับประดาแก่วิหารของเทพอารเตมิซเรื่อยมา(มีโบราณวัตถุที่ขุดพบได้จากที่นี่ที่เป็นของยุคต่างๆในพิพิธภัณฑ์ของเมืองเอเฟซุส) เมื่อคริสต์ศาสนาเข้ามีอิทธิพลเหนือระบบเทพเจ้าหลายองค์(polytheism) วิหารนี้ถูกทำลาย เสาหินและหินก้อนใหญ่ ถูกนำไปสร้างวิหารเซนต์โซเฟียที่เมืองคอนสแตนติโนเปิลกับวัดของเซนต์จอห์นที่เมืองเซลสุค ใกล้เมืองเอเฟซุส

CR : zizuhotel

สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิส (Mausoleum at Halicarnassus) 

ตั้งอยู่ในเมืองโบดรุม (Bodrum) ประเทศตุรกี สร้างขึ้นเมื่อ 351 ปีก่อนคริสตกาล โดยพระดำริของราชินีอาร์เทมิเซีย (Artemisia) เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแก่พระสวามี กษัตริย์มอโซลุสแห่งคาเรียที่สวรรคตเมื่อ 353 ปีก่อนคริสตกาล ถูกทำลายโดยแผ่นดินไหว ปัจจุบันหลงเหลือเพียงชากปรักหักพัง และซากของรูปปั้นต่างๆ ที่ใช้ประดับสุสาน

สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิส หรือ สุสานแห่งโมโซลูส (อังกฤษ: The Mausoleum at Halicarnassus, Tomb of Mausolus, กรีก: Μαυσωλεῖον τῆςἉλικαρνασσοῦ) เป็นสุสานขนาดใหญ่ของกษัตริย์โมโซลูสแห่งลิเชีย ในเอเชียไมเนอร์ จัดเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก เป็นเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ 

สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิส ตั้งอยู่ที่ฮาลิคาร์นัสเซิส ประเทศตุรกี ในปัจจุบัน สร้างขึ้นโดยราชินี อาเตมีสเซีย หลังการสวรรคตของพระสวามี สร้างขึ้นระหว่าง 353-350 ปีก่อนคริสต์ศักราช สร้างขึ้นมาจากหินอ่อนในระหว่างปี ค.ศ. 156-190 ในรูปแบบสถาปัตยกรรมกรีกโบราณ มีบันทึกไว้ว่า มีขนาดสูงถึง 140 ฟุต ฐานโดยรอบยาวถึง 460 ฟุต บนยอดสุดเป็นพื้นเหลี่ยมเล็กกว่าฐานล่าง ได้ปั้นเป็นรูปราชรถและม้า 1 ชุด กำลังวิ่ง และมีกษัตริย์และพระมเหสีประทับยืนอยู่บนราชรถม้า ประกอบด้วยลวดลายสวยงามมาก 

สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิส พังทลายลงด้วยเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในคริสต์ศตวรรษที่ 12-13 ปัจจุบันจึงเหลือแต่เพียงซากชิ้นส่วน และชิ้นส่วนบางอย่างถูกเก็บรักษาไว้ที่ บริติช มิวเซียม ในประเทศอังกฤษ

CR : wikipedia

เทวรูปโคโลสซูสแห่งเกาะโรดส์ (Colossus of Rhodes)

เทวรูปโคโลสซูส เทวรูปโคโลสซูส ตั้งอยู่ในทะเลเอเจียน ประเทศกรีซ เป็นรูปสำริดขนาดใหญ่ของสุริยะเทพ หรือเฮลิเอิส สูงประมาณ 32 เมตร ถูกทำลายโดยแผ่นดินไหวหลังการสร้างเพียง 60 ปี เทวรูปโคโลสซูส เป็นเทพเจ้าที่ชาวกรีกเคารพนับถือมาก ซึ่งชาวเกาะโรดส์มอบให้ปฏิมากรชื่อ ชาเรสแห่งลินดัส (Chares of Lindus) สร้างขึ้นเมื่อ 280 ปี ก่อนคริสต์กาล เทวรูปนี้หล่อด้วยทองสำริดในท่ายืนสูง 100 ฟุต มือขวาถือประทีปเทวรูปตั้งอยู่บนฐานทั้งสองข้างของปากอ่าว องค์เทวรูปยืนถ่างขาคร่อมปากอ่าวให้เรือลอดไปมาได้ เทวรูปโคโลสซูส หรือเทพเจ้าอพอลโป ประดิษฐานอยู่บนเกาะโรดส์ ประเทศกรีซ และเมื่อ 224 ปีก่อนคริสต์กาล หรือเพียง 56 ปีหลังสร้างเสร็จ เกิดแผ่นดินไหว ทำให้รูปปั้นมหึมาพังทลายลงมาระเนระนาด ชิ้นส่วนต่าง ๆ ยังคงหลงเหลืออยู่ ไม่มีใครดูแลเอาใจใส่ จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 10 ซากทองเหลืองที่เหลืออยู่จึงถูกขายให้แก่ชาวเมืองซาราเชนส์ ไปทำอาวุธในการทำสงครามจนหมด ปัจจุบันสิ่งมหัศจรรย์ชิ้นนี้ได้สูญสลายไปหมด

การสูญเสียสิ่งมหัศจรรย์ของโลกครั้งนี้นับเป็นความสูญเสียครั้งสำคัญทางประวัติศาสตร์อันเนื่องมาจากการรบราฆ่าฟันกันเองของมนุษย์ แม้แต่เทวรูปศักดิ์สิทธิ์ที่เคยเป็นที่เคารพนับถือและเป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงามก็ยังถูกนำไปสร้างเป็นอาวุธสงครามสำหรับสนองความต้องการในอำนาจของมนุษย์อย่างน่าเสียดาย

CR : sites.google

ประภาคารฟาโรส แห่ง อเล็กซานเดรีย (Lighthouse of Alexandria) 

ประภาคารฟาโรสแห่งอเล็กซานเดรีย หรือ ประภาคารแห่งอเล็กซานเดรีย (อังกฤษ: Pharos of Alexandria, Lighthouse of Alexandria, คำว่าฟาโรสในภาษากรีก(Φάρος) แปลว่าประภาคาร) เป็นประภาคารโบราณซึ่งจัดให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก 

ตั้งอยู่บนเกาะฟาโรส เมืองอเล็กซานเดรีย ริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนสร้างประมาณ 270 ปีก่อนคริสต์ศักราช ในรัชสมัยพระเจ้าปโตเลมีที่ 1 โดยสถาปนิกชื่อ โซสเตรโตส ตัวประคาภารมีความสูงเท่าใดไม่แน่ชัด แต่อยู่ในระหว่าง 200-600 ฟุต (ขนาดพอ ๆ กับ เทพีเสรีภาพ) สร้างด้วยหินอ่อนแกะสลัก มีตะเกียงขนาดใหญ่บนยอด นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าในเวลากลางวันจะปล่อยควัน ในเวลากลางคืนจะเป็นแสงไฟสว่างที่เห็นได้จากระยะไกล ซึ่งยังไม่ทราบว่าใช้วิธีใดในการจุดไฟและส่องแสง บ้างก็สันนิษฐานว่าใช้กระจกในการส่องแสง บ้างก็เชื่อว่า สามารถส่องแสงได้ถึง 4 ทาง แต่บางส่วนก็เชื่อว่า ส่องแสงได้เพียงแค่ 2 ทางเท่านั้น ประภาคารฟาโรสแห่งอเล็กซานเดรีย มีอายุอยู่ได้ยาวนานถึง 1,600 ปี จนกระทั่งในประมาณศตวรรษที่ 13-14 เกิดแผ่นดินไหวทำให้ประภาคารพังลงมา

ในปี ค.ศ. 1994 นักโบราณคดีได้ดำน้ำสำรวจบริเวณปากอ่าวอเล็กซานเดรีย พบหลักฐานของสิ่งที่เชื่อว่าเป็นซากชิ้นส่วนของประภาคารฟาโรสแห่งอเล็กซานเดรีย ซึ่งบางส่วนเป็นหินที่หนักถึง 70 ตันและเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ

CR : sites.google

By Kandi , CC BY-SA 3.0

Related content

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Copyrighted 2021. designlandclub. All Rights Reserved.
@ ART AD. DESIGN. 2021